วันอาทิตย์ที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2561

เรื่อง ประวัติรัชกาลที่ 10


รัชกาที่ 10.






พระนามของรัชกาลที่ 10 คือ     สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทร

เทพยวรางกูร 
              
มีพระนามเดิมของพระองค์ เดิมว่า   สมเด็จ พระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าวชิราลง

กรณ บรมจักรยาดิศรสันตติวงศ เทเวศรธำรง สุบริบาล อภิคุณูประการมหิตลาดุลเดช ภูมิพลนเรศวรางกูร

กิตติสิริสมบูรณ์สวางควัฒน์ บรมขัตติยราชกุมาร

ประวัติของพระองค์   สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร  เป็น

พระราชโอรส พระองค์เดียวในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช (รัชกาลที่ 9) และ

สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ เสด็จพระราชสมภพ ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต

เมื่อวันจันทร์ที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2495 เวลา 17:45 น.       

มีพี่น้อง     มีพระเชษฐภคินี 1 พระองค์ คือ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าอุบลรัตนราชกัญญา สิริ

วัฒนาพรรณวดี และพระขนิษฐภคินี 2 พระองค์ คือ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา เจ้าฟ้ามหาจักรีสิรินธร รัฐ

สีมาคุณากรปิยชาติ สยามบรมราชกุมารี และสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราช

กุมารี






การศึกษา      1.ระดับอนุบาล รร.จิตรลดา  สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ

ทรงสำเร็จการ

ศึกษาขั้นต้นในระดับอนุบาล รุ่นที่ 2 จากโรงเรียนจิตรลดา แล้วจึงเสด็จฯ ไปทรงศึกษาต่อในระดับประถม

ศึกษาที่โรงเรียนคิงส์มีดและศึกษาระดับมัธยมศึกษาที่โรงเรียนมิลฟิลด์ แคว้นซอมเมอร์เซทประเทศ

อังกฤษ หลังจากนั้น ทรงศึกษาต่อวิชาทหารที่โรงเรียนคิงส์สกูล ซิดนีย์ ประเทศออสเตรเลีย เสร็จแล้ว

ทรงการศึกษาต่อในระดับปริญญาตรีสาขาอักษรศาสตร์ (ด้านการทหาร) จากมหาวิทยาลัยนิวเซาท์เวลส์

ประเทศออสเตรเลีย




 2. โรงเรียนเสนาธิการทหารบก รุ่นที่ 46  ➤  ทรงศึกษาต่อที่

โรงเรียนเสนาธิการทหารบก รุ่นที่ 46 เมื่อปี พ.ศ. 2520 ทรงเข้าศึกษาในสาขาวิชานิติศาสตร์ รุ่นที่ 2

มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช เมื่อ พ.ศ.2525 ทรงสำเร็จการศึกษานิติศาสตรบัณฑิต (เกียรตินิยม

อันดับ 2)  และปี พ.ศ. 2533 ทรงได้รับการศึกษา ณ วิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักรแห่งสหราชอาณาจักร




 สมเด็จพระยุพราช  เมื่อวันที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2515 พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหา

ภูมิพลอดุลยเดช (รัชกาลที่ 9) ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ตั้งการพระราชพิธีสถาปนา

เฉลิมพระนามาภิไธย สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าวชิราลงกรณ ให้ดำรงพระอิสริยยศ สมเด็จ

พระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูรŽ ตามโบราณขัตติยราชประเพณี เพื่อรับราชสมบัติ

ปกครองราชอาณาจักรสืบสนองพระองค์ โดยมีพระนามตามจารึกในพระสุพรรณบัฏว่า

สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร สิริกิติยสมบูรณสวางควัฒน์ วร

ขัตติยราชสันตติวงศ์ มหิตลพงศอดุลยเดช จักรีนเรศยุพราชวิสุทธ สยามมกุฎราชกุมาร




พระโอรส-พระธิดา 1. หม่อมเจ้าจุฑาวัชร มหิดล หรือ จุฑาวัชร วิวัชรวงศ์
                                                         
                                                          2. หม่อมเจ้าวัชรเรศร มหิดล หรือ วัชรเรศร วิวัชรวงศ์
                                                       
                                                          3. หม่อมเจ้าจักรีวัชร มหิดล หรือ จักรีวัชร วิวัชรวงศ์
                                                 
                                                          4. หม่อมเจ้าวัชรวีร์ มหิดล หรือ วัชรวีร์ วิวัชรวงศ์
                                                      
                                                          5. พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าสิริวัณณวรีนารีรัตน์
                                                   
                                                          6. พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าทีปังกรรัศมีโชติ

พระราชกรณียกิจ ➤  1. ด้านการบิน

เมื่อวันที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2537 ทรงปฏิบัติหน้าที่ครูการบินเครื่องบินขับไล่แบบเอฟ-5 อี/เอฟ และพ.ศ.

2552 ทรงปฏิบัติหน้าที่นักบินที่ 1 เครื่องบินโบอิ้ง 737 – 400 ในเที่ยวบินสายใยรักแห่งครอบครัว ช่วย

เหลือผู้ประสบอุทกภัย และจัดหาอุปกรณ์ด้านการแพทย์ สำหรับโรงพยาบาลใน 3 จังหวัดชายแดนภาค

ใต้ (เที่ยวบินที่ ทีจี 8870 กรุงเทพมหานครถึงจังหวัดเชียงใหม่ และเที่ยวบินที่ ทีจี 8871 จังหวัดเชียงใหม่

ถึงกรุงเทพมหานคร)




  2. ด้านการทหาร

สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร เสด็จพระราชดำเนินไปเยี่ยมที่ตั้งกองทหาร

หน่วยต่างๆ อยู่เสมอ จากการที่ได้ทรงศึกษาด้านวิชาทหารมานาน ทรงมีความรู้เชี่ยวชาญอย่างมาก และ

ได้พระราชทานความรู้เหล่านั้นให้แก่ทหาร 3 เหล่าทัพ ทรงปฏิบัติพระองค์เป็นแบบอย่างแก่นายทหาร

เอาพระทัยใส่ในความเป็นอยู่ทุกข์สุขของทหารผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาอย่างทั่วถึง รวมทั้งพระราชทานพระ

ราชทรัพย์ส่วนพระองค์ เป็นทุนการศึกษาแก่บุตรของทหาร สิ่งเหล่านี้ล้วนก่อให้เกิดความเทิดทูนและ

ความจงรักภักดีแก่เหล่าทหารเป็นอย่างยิ่ง

3. ด้านการศึกษา

พระองค์พระราชทานพระราชานุญาตให้ใช้อาคารของกรมทหารมหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ เป็นที่

ตั้งของโรงเรียนอนุบาลชื่อว่า โรงเรียนอนุบาลทหารมหาดเล็กราชวัลลภ โดยในระยะแรกได้จัดการเรียน

การสอนเฉพาะชั้นอนุบาล ต่อมาโรงเรียนได้ย้ายไปที่จังหวัดนนทบุรี และได้รับพระราชทานชื่อใหม่ว่า

“โรงเรียนอนุราชประสิทธิ์”

นอกจากนี้ ยังพระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์สมทบเป็นค่าก่อสร้างโรงเรียนมัธยมศึกษาที่ตั้งอยู่

ในชนบทห่างไกลคมนาคมไม่สะดวก กระทรวงศึกษาธิการได้สนองพระราชประสงค์ด้วยการน้อมเกล้าฯ

ถวายโรงเรียนในระดับมัธยมศึกษาจำนวน 6 โรงเรียน เป็นโรงเรียนในพระราชูปถัมภ์ ได้แก่

โรงเรียนมัธยมพัชรกิติยาภา อ.ปลาปาก จ.นครพนม (ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็น โรงเรียนมัธยมพัชรกิติยาภา

1.โรงเรียนมัธยมจุฑาวัชร อ.ลานกระลือ จ.กำแพงเพชร (ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็น โรงเรียนมัธยมพัชรกิติยาภา

2. โรงเรียนมัธยมวัชเรศร อ.เมือง จ.สุราษฎร์ธานี (ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็น โรงเรียนมัธยมพัชรกิติยาภา 3)

3. โรงเรียนมัธยมจักรีวัชร อ.รัตนภูมิ จ.สงขลา (ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็น โรงเรียนมัธยมสิริวัณวรี 2)

4. โรงเรียนมัธยมวัชรวีร์ อ.ท่าตะเกียบ จ.ฉะเชิงเทรา (ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็น โรงเรียนมัธยมสิริวัณวรี 3)

5. โรงเรียนมัธยมบุษย์น้ำเพชร อ.เมือง จ.อุดรธานี (ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็น โรงเรียนมัธยมสิริวัณวรี 1)


สดุดีจิมราชา  ❤☺

https://www.youtube.com/watchv=nmTWXUoUcxo 



หน้าที่ของนักเรียนต่อชาตื ศาสนา พระมหากษัตริย์

1. รักษาชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
 
นักเรียนมีหน้าที่ในการรักษาชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ เช่น การเข้าร่วมกิจกรรมลูกเสือ เนตรนารี ยุวกาชาด เท่ากับได้เข้ารับการ
   
ฝึกให้มีความรักในสถาบันทั้ง 3 รวมทังระบอบการปกครองประชาธิปไตยด้วย

2. การป้องกันประเทศ
 
ถือว่าเป็นหน้าที่ของคนไทยทุกคน จะต้องช่วยกันทำหน้าที่นี้ ถึงแม้ว่าไม่ใช่ทหาร เจ้าหน้าที่ตำรวจ

3. เข้ารับราชการทหาร
    กฏหมายเกี่ยวกับการเกณฑ์ทหารในประเทศไทยใช้บังคับเฉพาะพเมืองที่เป็นชายเท่านั้นน กฏหมาย

ระบุว่า
 
ชายไทยเมื่อายุย่างเข้า 18 ปี ต้องไปแสดงตัวที่สัสดีอำเภอ เพื่อขึ้นทะเบียนทหาร อายุย่างเข้า 21 ปี ต้อง

ไปรับหมายเกณฑ์ทหาร ณ ที่เดียวกัน
 
ผู้ใดหลีกเลี่ยงจะมีความผิดตามกฏหมาย เมื่อครบ 2 ปี ก็จะปลดประจำการเป็นกองหนุน แต่จะต้องไป

รายงานตัวเมื่อทางราชการ
 
มีคำสั่งสำหรับนักเรียนมัธยมปลาย นิสิต นกศึกษา ก็สามารถสมัครเข้าเรียนวิชาทหารรักษาดินแดน (รด.)

เมื่อเรียนจบชั้นปีที่ 3 ก็สามารถนำหลัก
 
ฐานการจบหลักสูตรไปแสดงตัว เพื่อปลดเป็นกองหนุนในวันตรวจเลือก

4. การใช้สิทธิเลือกตั้งโดยสุจริต
 
ผู้มีสิทธิเลือกตั้งควรไปใช้สิทธิในการเลือกตั้งทุกครั้งไม่ว่าจะเป็นการเลือกตั้งท้องถิ่น หรือส่วนกลาง

5. ปฏิบัติตนตามกฏหมาย
   
นักเรียนที่ประพฤติตนเป็นผู้เคารพกฏระเบียบของโรงเรียนเท่ากับเป็นการฝึกเป็นผู้เคารพกฏหมายบ้าน

เมือง  การปฏิบัติตนตาม
   
กฏหมายเป็นวิธีการหนึ่งที่ทำให้บ้านเมืองสังคมสงบเรียบร้อย

6. เสียภาษีตามกฏหมาย
 
การพัฒนาประเทศในด้านต่าง ๆ จะเกิดขึ้นได้ก็จากเงินภาษีที่ราษฏรเสียให้กับรัฐ

7. ช่วยเหือราชการ
 
การช่วยเหลือราชการตามกฏหมาย ถือว่าเป็นส่งที่ทุกคนพึงกระทำ

8. รับการศึกษา
   
ประชาชนทุกคนมีหน้าที่เข้ารับการศึกษาตามรัฐกำหนด เพราะการศึกษาจะทำให้ประชาชนมีความรับผิด

ชอบที่ต้องทำด้วยความเต็มใจ

9. ปกป้องและรักษาศิลปวัฒนธรรมของชาติ
 
 ศิปวัฒนธรรมของชาติ เป็นสิ่งที่แสดงถึงความเป็นเอกลักษณ์ของชาติ เป็นมรดกทางสังคมที่ถ่ายทอด

กันมาเป็นเวลาช้านาน

10. รักษาทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม
   
จากการเพิ่มประชากรอย่างรวเร็ว การขยายตัวทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าอย่างมากมาย ส่ง

ผลให้ทรัพยากรธรรมชาติและ

สิ่งแวดล้อมถูกทำลายลงไป
 
 - ใช้เทคโนโลยีด้วยความระมัดระวัง
 
 -  ใช้ทรัพยากรธรรมชาติให้เกิดประโยชน์สูงสุด

   -  สร้างเสริมทรัพยากรธรรมชาติให้มีการทดแทนกันมากที่สุด
 
 -  รักษาระดับคุณถาพสิ่งแวดล้อมให้เกิดมลพิษน้อยที่สุด หรือไม่มีเลย


ที่มา  https://lifestyle.campus-star.com/knowledge/43066.html  

       https://news.mthai.com/webmaster-talk/525488.html

      https://writer.dek-d.com/saroyieam/story/viewlongc.php?id=430801&chapter=7






ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

เทคโนโลยี 4.00 Thailand 4.0  (ไทยแลนด์ 4.0)   เป็นวิสัยทัศน์เชิงนโยบาย ที่ เปลี่ยนเศรษฐกิจแบบเดิมไปสู่เศรษฐกิจที่ขับเคลื่...